หนังสือ "Deep Work: Rules for Focused Success in a Distracted World" (ฉบับแปลไทยชื่อ "ดำดิ่งท่ามกลางสิ่งรบกวน") เขียนโดย Cal Newport ซึ่งเป็นหนังสือที่เน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำงานอย่างจดจ่อและมีสมาธิสูงในยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยสิ่งรบกวนครับ
Deep Work คืออะไร?
Deep Work หรือ "การทำงานแบบดำดิ่ง" คือ การทำงานที่ต้องใช้สมาธิอย่างเต็มที่ ปราศจากสิ่งรบกวน เพื่อผลักดันความสามารถทางปัญญาให้ถึงขีดสุด การทำงานลักษณะนี้จะช่วยสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณค่าสูง พัฒนาทักษะที่ซับซ้อน และยากต่อการลอกเลียนแบบ
ตรงกันข้ามกับ Shallow Work ซึ่งเป็นงานที่ไม่ต้องใช้ความคิดมากนัก ทำได้แม้มีสิ่งรบกวน มักเป็นงานเชิงธุรการหรือการสื่อสารที่ไม่ซับซ้อน เช่น การตอบอีเมล การประชุมทั่วไป หรือการเล่นโซเชียลมีเดีย งานเหล่านี้แม้จำเป็นแต่สร้างคุณค่าใหม่ได้น้อยกว่า
ทำไม Deep Work ถึงสำคัญ?
Cal Newport เสนอ "สมมติฐาน Deep Work" ว่า:
- ทักษะที่หายากและมีค่า: ในเศรษฐกิจยุคใหม่ ความสามารถในการทำงานแบบ Deep Work กำลังลดน้อยลงสวนทางกับคุณค่าที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะเทคโนโลยีและวัฒนธรรมการทำงานปัจจุบันส่งเสริมการทำงานแบบตื้นเขิน (Shallow Work) และการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน (Multitasking) ซึ่งงานเหล่านี้มักจะถูกทดแทนด้วยระบบอัตโนมัติได้ง่าย
- สร้างความเชี่ยวชาญ: การทำงานแบบ Deep Work เป็นหนทางในการเรียนรู้สิ่งที่ยากและซับซ้อนได้อย่างรวดเร็ว และสร้างผลงานที่มีคุณภาพสูงในเวลาที่สั้นลง
- สร้างความหมาย: การทุ่มเทสมาธิอย่างเต็มที่กับงานที่ท้าทาย ทำให้เกิดความรู้สึกถึงความสำเร็จและความหมายในการทำงาน
หนังสือแบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก:
ส่วนที่ 1: The Idea (แนวคิด)
อธิบายถึงความสำคัญและคุณค่าของ Deep Work ในโลกปัจจุบัน โดยชี้ให้เห็นว่าทักษะนี้เป็นเหมือน "พลังพิเศษ" ในเศรษฐกิจศตวรรษที่ 21 ที่มีการแข่งขันสูง คนที่สามารถฝึกฝนและนำ Deep Work มาเป็นแกนหลักในการทำงานจะประสบความสำเร็จและก้าวหน้าได้
ส่วนที่ 2: The Rules (กฎ 4 ข้อสำหรับการฝึก Deep Work)
-
Work Deeply (ทำงานอย่างดำดิ่ง):
- เลือกปรัชญาการทำงาน: Newport แนะนำ 4 แนวทางในการผสาน Deep Work เข้ากับตารางชีวิต:
- Monastic (แบบนักบวช): ตัดขาดจากสิ่งรบกวนเกือบทั้งหมด เหมาะสำหรับผู้ที่งานต้องการสมาธิสูงสุดอย่างต่อเนื่อง
- Bimodal (แบบสองจังหวะ): แบ่งเวลาชัดเจนระหว่างช่วง Deep Work (อาจจะเป็นหลายวันหรือหลายสัปดาห์) กับช่วงเวลาปกติ
- Rhythmic (แบบเป็นจังหวะ): กำหนดเวลาตายตัวสำหรับ Deep Work ในแต่ละวัน (เช่น 90 นาทีทุกเช้า) แล้วทำให้เป็นกิจวัตร
- Journalistic (แบบนักข่าว): ฝึกฝนให้สามารถเข้าสู่โหมด Deep Work ได้ทุกเมื่อที่มีเวลาว่าง แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ (ต้องมีวินัยสูง)
- สร้าง Rituals (กิจวัตร): ออกแบบกิจวัตรประจำวันเพื่อลดการใช้พลังใจในการเริ่มต้น Deep Work เช่น กำหนดสถานที่ทำงานเฉพาะ, กำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน, มีวิธีการทำงานที่แน่นอน (เช่น ห้ามใช้อินเทอร์เน็ต), และเตรียมสิ่งที่จำเป็นให้พร้อม (เช่น กาแฟ)
- ลงมือทำอย่างยิ่งใหญ่ (Execute Like a Business): นำหลัก 4DX (4 Disciplines of Execution) มาปรับใช้ คือ โฟกัสในสิ่งที่สำคัญที่สุด, ลงมือทำในตัวชี้วัดนำ (Lead Measures), บันทึกผลให้เห็นชัดเจน (Scoreboard เช่น กากบาทบนปฏิทินทุกวันที่ทำ Deep Work), และทบทวนผลอย่างสม่ำเสมอ
-
Embrace Boredom (โอบรับความเบื่อ):
- ฝึกต้านทานสิ่งรบกวน: ในยุคที่สมองโหยหาสิ่งกระตุ้นตลอดเวลาจากโซเชียลมีเดียและการเชื่อมต่อออนไลน์ เราต้องฝึกให้สมองคุ้นเคยกับความเบื่อ ไม่หยิบมือถือหรือหาสิ่งอื่นทำทันทีที่รู้สึกเบื่อหรือเจอเรื่องยาก เพื่อสร้าง "กล้ามเนื้อสมาธิ"
- ฝึกสมาธิ: เช่น การฝึก Productive Meditation คือการใช้เวลาที่ร่างกายไม่ว่างแต่สมองว่าง (เช่น ตอนเดิน วิ่ง อาบน้ำ) ในการครุ่นคิดปัญหาที่ต้องใช้สมาธิ โดยไม่ปล่อยให้จิตใจวอกแวก
- กำหนดเวลาใช้อินเทอร์เน็ต: ตั้งเวลาสำหรับ "พักผ่อนจากอินเทอร์เน็ต" เพื่อให้สมองได้พักจากการถูกกระตุ้น
-
Quit Social Media (เลิกใช้โซเชียลมีเดีย):
- ประเมินคุณค่าเครื่องมือ: ใช้หลัก "Craftsman Approach" ในการเลือกใช้เครื่องมือต่างๆ รวมถึงโซเชียลมีเดีย โดยพิจารณาว่ามันส่งผลดีหรือเสียต่อเป้าหมายหลักในงานและชีวิต มากกว่าการใช้เพียงเพราะ "อาจมีประโยชน์บ้าง" (Any-Benefit Approach)
- ทดลองเลิก: ลองงดใช้โซเชียลมีเดียที่ไม่จำเป็นสัก 30 วัน แล้วประเมินว่าชีวิตและการทำงานดีขึ้นหรือแย่ลง
- อย่าใช้เน็ตเพื่อความบันเทิง: หากิจกรรมยามว่างที่ไม่ต้องพึ่งพาหน้าจอ เพื่อให้สมองได้พักผ่อนอย่างแท้จริง
-
Drain the Shallows (กำจัดงานตื้นเขิน):
- วางแผนทุกนาที: จัดตารางเวลาสำหรับทั้งวัน ไม่ใช่แค่ Deep Work แต่รวมถึง Shallow Work และเวลาพักผ่อนด้วย เพื่อให้เห็นภาพรวมการใช้เวลาและลดเวลาที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์
- วัดความลึกของงาน: ประเมินว่ากิจกรรมต่างๆ ต้องใช้ Deep Work หรือ Shallow Work มากน้อยแค่ไหน เพื่อพยายามเพิ่มสัดส่วนของ Deep Work
- สื่อสารกับหัวหน้า: พูดคุยเรื่องสัดส่วนงาน Deep/Shallow ที่เหมาะสมกับตำแหน่งงาน
- กำหนดเวลาเลิกงาน: ตั้งเวลาเลิกงานที่ชัดเจนและพยายามทำให้ได้ เพื่อป้องกันการทำงานล่วงเวลาที่ไม่จำเป็น และเป็นการบังคับให้ใช้เวลาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ทำให้เข้าถึงยากขึ้น: ลดการตอบสนองทันทีทันใด เช่น กำหนดช่วงเวลาตอบอีเมล ไม่จำเป็นต้องตอบทุกข้อความทันที
โดยสรุป, หนังสือ Deep Work เสนอว่า การฝึกฝนความสามารถในการทำงานอย่างจดจ่อและลึกซึ้งเป็นทักษะสำคัญอย่างยิ่งยวดในยุคปัจจุบันที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในอาชีพการงาน การสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพ และชีวิตการทำงานที่มีความหมายมากขึ้น แม้จะต้องอาศัยวินัยและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นคุ้มค่าอย่างแน่นอนครับ