https://www.permit.io/blog/best-practices-for-multi-tenant-authorization
เพื่อให้เข้าใจแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับการให้สิทธิ์แบบ Multi-tenant (Multi-tenant Authorization) อย่างละเอียด เราต้องเข้าใจก่อนว่า Multi-tenancy คืออะไร และทำไมการให้สิทธิ์จึงสำคัญในบริบทนี้
Multi-tenancy คืออะไร?
Multi-tenancy เป็นสถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์ที่อินสแตนซ์ (instance) เดียวของแอปพลิเคชันสามารถให้บริการผู้ใช้หลายกลุ่ม (เรียกว่า tenant) ได้พร้อมกัน โดยที่ข้อมูลและการกำหนดค่าของผู้ใช้แต่ละกลุ่มจะถูกแยกออกจากกันอย่างปลอดภัย เสมือนว่าแต่ละ tenant มีแอปพลิเคชันเป็นของตัวเอง
ความสำคัญของการให้สิทธิ์ใน Multi-tenant Application
ในสภาพแวดล้อมแบบ Multi-tenant การให้สิทธิ์ (Authorization) หรือการกำหนดว่าผู้ใช้คนใดสามารถทำอะไรได้บ้างในแอปพลิเคชัน มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะต้องมั่นใจว่า:
- การแยกข้อมูล (Data Isolation): ผู้ใช้ใน tenant หนึ่งไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้ใน tenant อื่นได้โดยไม่ได้รับอนุญาต
- ความปลอดภัย: ป้องกันการเข้าถึงที่ไม่พึงประสงค์และการละเมิดข้อมูลข้าม tenant
- การจัดการที่ยืดหยุ่น: แต่ละ tenant อาจมีความต้องการด้านบทบาท (Roles) และสิทธิ์ (Permissions) ที่แตกต่างกัน ระบบจึงต้องรองรับการปรับแต่งได้
แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best Practices) สำหรับ Multi-tenant Authorization
จากข้อมูลที่รวบรวมได้ แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดมีดังนี้:
-
การระบุและการแยก Tenant (Tenant Identification and Isolation):
- ระบุ Tenant อย่างชัดเจน: ทุกคำขอ (request) ที่เข้ามายังระบบจะต้องระบุได้ว่ามาจาก tenant ใด
- เชื่อมโยงผู้ใช้กับ Tenant: ผู้ใช้แต่ละคนต้องถูกผูกกับ tenant ที่ตนสังกัดอย่างชัดเจน อาจมีการเพิ่ม
TenantId ในโมเดลข้อมูลผู้ใช้
- แยกข้อมูลอย่างเข้มงวด: ใช้กลไกต่างๆ เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลของแต่ละ tenant ถูกแยกออกจากกันอย่างสมบูรณ์ เช่น การใช้
TenantId ในการกรองข้อมูลทุกครั้งที่ query หรือการใช้ Row-Level Security (RLS) ในฐานข้อมูลอย่าง PostgreSQL เพื่อบังคับใช้นโยบายการเข้าถึงข้อมูลในระดับแถวโดยอัตโนมัติ
- แยกนโยบาย (Policy Isolation): พิจารณาว่าจะจัดเก็บนโยบายการให้สิทธิ์แยกกันสำหรับแต่ละ tenant (Silo model) หรือใช้ Policy Store ร่วมกัน (Pool model) โดยมีกลไกแยกแยะภายใน การแยก Policy Store ให้ความปลอดภัยสูงสุด แต่การใช้ร่วมกันอาจจัดการง่ายกว่าในบางกรณี
-
การจัดการบทบาทและสิทธิ์ (Role and Permission Management):
- ใช้ Role-Based Access Control (RBAC) ภายใน Tenant: กำหนดบทบาท (เช่น Admin, Editor, Viewer) ภายในขอบเขตของแต่ละ tenant ผู้ดูแลระบบของ tenant สามารถจัดการบทบาทและมอบหมายสิทธิ์ให้ผู้ใช้ภายใน tenant ของตนเองได้
- รองรับความต้องการที่แตกต่าง: ออกแบบระบบให้ยืดหยุ่นพอที่จะรองรับโครงสร้างบทบาทและสิทธิ์ที่อาจแตกต่างกันไปในแต่ละ tenant
- พิจารณา Attribute-Based Access Control (ABAC) และ Relationship-Based Access Control (ReBAC): สำหรับการควบคุมที่ละเอียดและซับซ้อนมากขึ้น อาจใช้ ABAC (พิจารณาคุณสมบัติของผู้ใช้, ทรัพยากร, และสภาพแวดล้อม) หรือ ReBAC (พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้และทรัพยากร) เสริมเข้ามา
-
การออกแบบสถาปัตยกรรม (Architectural Design):
- เลือกระดับการแชร์ทรัพยากรที่เหมาะสม: ตัดสินใจว่าจะแชร์ทรัพยากร (เช่น แอปพลิเคชันเซิร์ฟเวอร์, ฐานข้อมูล) ระดับไหนระหว่าง tenant ต่างๆ การแชร์มากขึ้นช่วยลดต้นทุน แต่เพิ่มความซับซ้อนในการแยกข้อมูลและความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
- ใช้ Tenant Identifier ในทุกระดับ: ตรวจสอบและบังคับใช้
TenantId ไม่ใช่แค่ในระดับข้อมูล แต่รวมถึงระดับแอปพลิเคชันและโครงสร้างพื้นฐานด้วย
- พิจารณาใช้เครื่องมือเฉพาะทาง: ใช้บริการหรือเครื่องมือจัดการสิทธิ์ภายนอก เช่น Permit.io, Oso, Cerbos, หรือ Keycloak (พร้อมส่วนขยายหรือการผสานรวม) เพื่อลดความซับซ้อนในการพัฒนาและจัดการนโยบาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องการฟีเจอร์ขั้นสูงอย่าง ABAC หรือ ReBAC
-
ความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนด (Security and Compliance):
- บังคับใช้ Least Privilege: ให้สิทธิ์ผู้ใช้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็นต่อการทำงาน
- การตรวจสอบ (Auditing): บันทึกกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการให้สิทธิ์และการเข้าถึงข้อมูลอย่างละเอียด เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้
- การเข้ารหัสข้อมูล (Encryption): เข้ารหัสข้อมูลทั้งในขณะจัดเก็บ (at rest) และขณะส่ง (in transit)
- Network Policies: ควบคุมการสื่อสารระหว่าง Pod หรือ Service ต่างๆ เพื่อจำกัดการเข้าถึงที่ไม่จำเป็น (เช่น ใน Kubernetes)
-
การจัดการผู้ใช้และการยืนยันตัวตน (User Management and Authentication):
- แยกการยืนยันตัวตน (Authentication) ออกจากการให้สิทธิ์ (Authorization): การยืนยันตัวตนคือการพิสูจน์ว่าผู้ใช้คือใคร ส่วนการให้สิทธิ์คือการกำหนดว่าผู้ใช้ที่ยืนยันตัวตนแล้วสามารถทำอะไรได้บ้าง
- ใช้ Identity Provider (IdP) ที่น่าเชื่อถือ: ผสานรวมกับ IdP เช่น Auth0, Okta, Microsoft Entra ID (Azure AD) หรือ Keycloak เพื่อจัดการการยืนยันตัวตน
- การจัดการผู้ใช้ข้าม Tenant: พิจารณากรณีที่ผู้ใช้คนเดียวอาจต้องเข้าถึงหลาย tenant และออกแบบกระบวนการจัดการสิทธิ์ให้รองรับสถานการณ์นี้
-
การทดสอบและการบำรุงรักษา (Testing and Maintenance):
- ทดสอบการแยก Tenant อย่างละเอียด: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ใช้ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลหรือฟังก์ชันของ tenant อื่นได้
- ทดสอบบทบาทและสิทธิ์: ตรวจสอบว่าการกำหนดค่า RBAC หรือนโยบายอื่นๆ ทำงานถูกต้องตามที่คาดหวังสำหรับแต่ละ tenant
- วางแผนสำหรับการขยายตัว (Scalability): ออกแบบระบบให้รองรับจำนวน tenant และผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้นได้โดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพและความปลอดภัย
เครื่องมือและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง:
- Permit.io: เป็นบริการ Authorization-as-a-Service ที่ออกแบบมาเพื่อลดความซับซ้อนในการจัดการสิทธิ์ โดยรองรับ Multi-tenancy เป็นแนวคิดหลัก (first-class citizen) และมี API/UI สำหรับจัดการ tenant, บทบาท, และนโยบาย รวมถึงรองรับ ABAC/ReBAC
- Keycloak: เป็นโซลูชัน Identity and Access Management (IAM) แบบโอเพนซอร์ส สามารถใช้จัดการการยืนยันตัวตนและให้สิทธิ์พื้นฐานได้ แต่การจัดการ Multi-tenancy ที่ซับซ้อนอาจต้องใช้ความพยายามในการกำหนดค่า หรือผสานรวมกับเครื่องมืออื่นอย่าง Permit.io เพื่อเพิ่มความสามารถ
- Amazon Verified Permissions / Open Policy Agent (OPA): เป็นบริการ/เครื่องมือสำหรับจัดการนโยบายการให้สิทธิ์แบบละเอียด ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้ในสถาปัตยกรรม Multi-tenant ได้ โดยต้องพิจารณาเรื่องการแยก Policy Store และการจัดการ tenant onboarding
- ASP.NET Identity / Database Mechanisms (เช่น RLS): เฟรมเวิร์กและกลไกในระดับฐานข้อมูลที่ช่วยในการสร้างระบบ Multi-tenant โดยการเพิ่ม TenantId และใช้ฟิลเตอร์หรือนโยบายเพื่อแยกข้อมูล
สรุป:
การออกแบบระบบให้สิทธิ์สำหรับแอปพลิเคชัน Multi-tenant เป็นเรื่องท้าทายที่ต้องให้ความสำคัญกับการแยกข้อมูล (Isolation) และความปลอดภัยเป็นอันดับแรก แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดคือการระบุ tenant อย่างชัดเจน, ใช้ RBAC (หรือ ABAC/ReBAC) ภายในขอบเขต tenant, ออกแบบสถาปัตยกรรมที่เหมาะสม, ใช้เครื่องมือที่ช่วยลดความซับซ้อน, และทำการทดสอบอย่างละเอียด การใช้บริการเฉพาะทางอย่าง Permit.io สามารถช่วยให้การจัดการสิทธิ์ในสภาพแวดล้อม Multi-tenant ง่ายขึ้น ปลอดภัย และยืดหยุ่นมากขึ้น