one.ilmsg.in.th

How to learn anything 5x faster

alt text

กรอบการเรียนรู้ต่างๆ เพื่อช่วยให้คุณเรียนรู้ได้เร็วขึ้น 5 เท่า:

  1. เทคนิคไฟน์แมน (Feynman Technique):

    • เลือกหัวข้อ: เริ่มต้นด้วยการเลือกหัวข้อที่คุณต้องการเรียนรู้
    • อธิบายง่ายๆ: พยายามอธิบายหัวข้อนั้นด้วยคำพูดที่ง่ายที่สุด ราวกับว่าคุณกำลังสอนเด็ก
    • หาช่องว่าง: ระบุส่วนที่คุณอธิบายได้ไม่ดี หรือส่วนที่คุณยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้
    • ศึกษาเพิ่มเติม: กลับไปศึกษาค้นคว้าในส่วนที่เป็นช่องว่างนั้นจนกว่าจะเข้าใจ
    • ทบทวนและทำให้ง่ายขึ้น: ลองอธิบายอีกครั้ง โดยปรับปรุงคำอธิบายให้กระชับ ชัดเจน และเข้าใจง่ายที่สุด
  2. การเข้ารหัสคู่ (Dual-Coding):

    • ผสมผสานข้อมูล: ใช้ทั้งข้อมูลที่เป็นคำพูด (ตัวอักษร คำบรรยาย) และข้อมูลที่เป็นภาพ (รูปภาพ แผนภาพ กราฟ) ควบคู่กันไป
    • อธิบายภาพด้วยคำพูด: ลองอธิบายสิ่งที่เห็นในภาพด้วยคำพูดของคุณเอง
    • เสริมการเรียนรู้: การใช้ข้อมูลสองรูปแบบนี้ร่วมกันจะช่วยเสริมสร้างความเข้าใจและความจำได้ดีขึ้น
  3. การทวนซ้ำแบบเว้นระยะ (Spaced Repetition):

    • ทบทวนเป็นระยะ: แทนที่จะทบทวนเนื้อหาทั้งหมดในครั้งเดียว ให้เว้นระยะเวลาในการทบทวนเนื้อหาเดิมเป็นช่วงๆ
    • เอาชนะ "โค้งการลืม": เทคนิคนี้ช่วยต่อสู้กับแนวโน้มตามธรรมชาติของสมองที่จะลืมข้อมูลเมื่อเวลาผ่านไป (ตามกราฟที่แสดง) การทบทวนเป็นระยะจะช่วยให้ข้อมูลอยู่ในความทรงจำระยะยาวได้ดีขึ้น
  4. การเรียนสลับหัวข้อ (Interleaving):

    • ผสมหัวข้อต่างๆ: แทนที่จะเรียนหัวข้อเดียวจนจบแล้วค่อยเปลี่ยน ให้สลับเรียนหัวข้อต่างๆ ไปมา
    • สลับไปมา: ฝึกการเปลี่ยนความสนใจระหว่างหัวข้อที่แตกต่างกัน
    • ประยุกต์ข้ามบริบท: ช่วยให้คุณสามารถนำความรู้จากหัวข้อหนึ่งไปประยุกต์ใช้กับบริบทหรือปัญหาในอีกหัวข้อหนึ่งได้ดีขึ้น
  5. แผนผังความคิด (Mind-Maps):

    • เลียนแบบการทำงานของสมอง: การสร้างแผนผังความคิดมีโครงสร้างคล้ายกับการเชื่อมโยงข้อมูลในสมอง
    • เริ่มจากแนวคิดหลัก: เขียนแนวคิดหรือหัวข้อหลักไว้ตรงกลาง
    • แตกแขนง: ลากเส้นโยงแตกแขนงออกไปยังแนวคิดย่อยๆ หรือหัวข้อที่เกี่ยวข้อง
  6. การแบ่งเป็นส่วนๆ (Chunking):

    • จัดกลุ่มข้อมูล: รวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันเป็นกลุ่มเล็กๆ หรือ "ส่วน" (Chunk)
    • จดจ่อทีละส่วน: ทำความเข้าใจทีละกลุ่มข้อมูลเล็กๆ ก่อน
    • รวมส่วนต่างๆ: เมื่อเข้าใจแต่ละส่วนแล้ว ค่อยนำมารวมกันเพื่อสร้างความเข้าใจในภาพรวมที่ใหญ่ขึ้น
  7. หลักการพาเรโต (Pareto Principle - 80/20):

    • แยกส่วนทักษะ: แบ่งทักษะที่ต้องการเรียนรู้ออกเป็นส่วนประกอบย่อยๆ
    • ระบุแก่น: ค้นหาส่วนที่สำคัญที่สุดหรือแก่นหลักของทักษะนั้น
    • เน้น 20% ที่ให้ผล 80%: หลักการนี้กล่าวว่า โดยทั่วไปแล้ว 20% ของความพยายาม (หรือส่วนประกอบหลัก) จะให้ผลลัพธ์ถึง 80% ให้มุ่งเน้นไปที่ 20% ที่สำคัญนั้น
  8. วิธี SQ3R:

    • กลยุทธ์การอ่านเชิงรุก: เป็นเทคนิคที่ช่วยให้การอ่านมีประสิทธิภาพมากขึ้น ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน:
      • Survey (สำรวจ): ดูภาพรวมเนื้อหาก่อน เช่น หัวข้อใหญ่ หัวข้อย่อย รูปภาพ คำนำ สรุป
      • Question (ตั้งคำถาม): เปลี่ยนหัวข้อต่างๆ เป็นคำถาม เพื่อกระตุ้นความอยากรู้
      • Read (อ่าน): อ่านเนื้อหาอย่างตั้งใจเพื่อหาคำตอบสำหรับคำถามที่ตั้งไว้
      • Recite (สรุป): ลองสรุปเนื้อหาที่อ่านด้วยคำพูดของตัวเอง หรือตอบคำถามที่ตั้งไว้
      • Review (ทบทวน): กลับมาทบทวนเนื้อหาและบันทึกย่อทั้งหมดอีกครั้ง
  9. เอาชนะ "ช่วงตกต่ำ" (Overcome the "Dip"):

    • ความตื่นเต้นช่วงแรก: เมื่อเริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ เรามักจะรู้สึกตื่นเต้นและมีแรงจูงใจสูง
    • ความพยายามและผลลัพธ์: หลังจากนั้น จะมีช่วงที่ความตื่นเต้นลดลง แม้จะพยายามอย่างต่อเนื่อง แต่ผลลัพธ์อาจไม่คืบหน้าเท่าที่ควร (ช่วง "Dip" ในกราฟ)
    • ยืนหยัด: สิ่งสำคัญคือต้องอดทนและพยายามต่อไปแม้ความตื่นเต้นเริ่มแรกจะหายไป
    • ผลลัพธ์จะตามมา: หากคุณสามารถผ่านช่วง "Dip" นี้ไปได้ ผลลัพธ์และความก้าวหน้าในการเรียนรู้จะตามมาในที่สุด

การใช้เทคนิคเหล่านี้ผสมผสานกันจะช่วยให้คุณเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้นครับ